top of page

บทความครู Finale Academy

ครูผู้สอนที่ Finale Academy ไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะการแสดงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนได้ค้นพบศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง ทุกคลาสถูกออกแบบให้เข้มข้น เข้าถึง และเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละระดับ ครูทุกคนล้วนมีประสบการณ์ตรง

จากวงการการแสดง ละครเวที ดนตรี และการกำกับ ทั้งในและต่างประเทศ ถ่ายทอดความรู้ด้วยความเข้าใจ

และความใส่ใจในตัวนักเรียนอย่างแท้จริง

LINE_ALBUM_ครู_240925_40_edited.jpg

Ep.1

ช่วงนี้มีการประกวดมากมาย มีหลายคนมาปรึกษา ก็เลยคิดว่า ขอแชร์เทคนิคเล็กๆน้อยๆ เอาไว้ให้นะคะ คัดมาจากประสบการณ์การเรียนการแสดง

และการจัดการแสดงค่ะ

การร้องเพลงบนเวทีก็คือการสื่อสารอารมณ์และเล่าเรื่องราวแบบหนึ่งเหมือนกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักร้องหลายๆคน จำเป็นต้องเรียนการแสดง

ควบคู่กันไปเพื่อการแสดงอารมณ์เพลงได้อย่างพอดี และสร้างความมั่นใจให้ตัวเองด้วยสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือคนร้อง ต้องรู้จักอารมณ์และรูปแบบ

การแสดงอารมณ์ของตัวเองได้ดีก่อน องค์ประกอบของการแสดงในการร้องเพลง มีอะไรบ้าง? และจะทำอย่างไรเพื่อส่งความหมายในเพลงให้เราและ

ผู้ฟังรู้สึกถึงอารมณ์ของเพลงให้ได้มากที่สุด

 

1. ทุกอย่างเริ่มที่วัตถุดิบในตัวเราเองเสมอ ~~ รู้จักและเข้าใจตัวเอง เข้าใจการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวเองแบบละเอียด ย้ำ! ว่าต้องละเอียด

เพลงส่วนมากเป็นเรื่องราวของความรักที่เป็นเรื่องเซนซิทีฟของมนุษย์ ดังนั้น เราจะต้องไม่ชุ่ยกับการถ่ายทอดความอ่อนไหวนี้ คนเราไม่ได้มีอารมณ์ใด

อารมณ์เดียวเป็นสีขาวจั๊วะหรือดำปิ๊ดปี๋ มันจะมีเลเยอร์หลายๆอัน หลายๆเฉดสีปะปนอยู่เสมอ เช่น อารมณ์รัก .. สีชมพู มันมีชมพูแพนโทนเดียวซะเมื่อไหร่?

คำว่ารักก็เช่นกัน มันไม่ใช่แค่รักคำเดียวจบ ลองถามตัวเองต่อว่า รักแบบไหนอ่ะ คลั่งรัก หรือรักแน่รักนาน รักแบบเติมใจให้กัน หรือรักแบบลองเชิง รักหยอกๆ เจ้าชู้ หรือจะอารมณ์เสียใจ… เสียใจอะไรอ่ะ เสียใจผิดหวัง เสียใจถูกหักหลัง เสียใจและโกรธ โกรธแค้นจนต้องสาป อะไรแบบนี้

- [ ] วิธีฝึกง่ายๆ ลองไปยืนหน้ากระจก หรือถ่ายวิดีโอตัวเองก็ได้ ลองพูดประโยคความหมายกลางๆ เช่น ”สวัสดี สบายดีไหม“ ”ไม่ได้เจอกันนานเลย“

แต่ลองเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆ รักแบบต่างๆ ผิดหวังแบบต่างๆ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น สายตา โทนน้ำเสียง

เสียงลมหายใจ หรือแม้แต่เสียงในหัวที่เปลี่ยนไป แค่นี้เราก็เห็นและเข้าใจการแสดงอารมณ์ของตัวเองได้ประมาณนึงแล้วแหละ ทดลอง explore ด้วยกิจกรรมนี้ แล้วมาแชร์กันนะคะ

2. เนื้อเพลง จะเจาะจงฟีลลิ่งมาประมาณนึงแล้ว เราจะเข้าใจเหตุผลและความต้องการของเพลง (หากเราถือเนื้อเพลงที่เราอ่านแล้วไม่เข้าใจ เราหาคำตอบ

พวกนี้ไม่ได้ .. แนะนำให้ลองเปลี่ยนไปเพลงอื่นที่เราเข้าใจมันได้ก่อน) ดังนั้น พอเข้าใจเพลง + เริ่มเข้าใจการแสดงออกของตัวเองได้แล้ว ก็กลับมาผสม inner ตัวเองและ attitude ของเพลงเข้าไปด้วยกัน

3. ท่องเนื้อเพลงให้แม่น แล้วหา movement การใช้ร่างกาย/ท่าทางบนเวทีของตัวเองให้เหมาะสมกับเพลง ”ไม่มากหรือน้อยเกินเพลง” … เพลงช้า

ก็ไม่ต้องเดินไปทั่วเวทีก็ได้ there is power in stillness นิ่งไว้บ้างก็ไม่ผิด มือก็ไม่ได้เห็นจำเป็นจะต้องยกมันขึ้นมาทุกเพลง .. เพลงเร็วก็ไม่ได้แปลว่าต้องเด้งไปเด้งมาเล่นหูเล่นตาตลอดเวลา วางแผนบลอคกิ้งให้ดี ให้มันเอื้อกับความสามารถในการร้องของเราด้วย เพราะอย่าลืมว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพของ

เสียงร้อง อย่าให้สิ่งนี้ดรอป

4. ”ทำยังไงให้คนอินตาม“ อ่า… อันนี้อยากบอก เราต้องไม่ไปตั้งผลลัพธ์เป้าหมายแบบนั้น โฟกัสผิดจุด เราต้องคิดแค่ว่า หน้าที่ของเราคือเป็นผู้สื่อสาร

อารมณ์เพลง อารมณ์ที่เกิดขึ้น ณ โมเม้นต์ของการร้อง (ใช่ค่ะมันจะคล้ายๆการเรียนละครนั่นแหละ ทุกอย่างต้องรู้สึกจริงในชั่วเวลาขณะนั้น) ~~ ถ้าคนร้องอินกับเนื้อเพลง อินกับดนตรี อินกับสถานการณ์ของเพลง … คนดูจะอินตามเองค่ะ

ปล.ไว้ว่า อันนี้จะไม่เหมือนการร้องเพลงแบบละครเพลง musical เพราะการแสดงชนิดนี้ต้องอาศัยการกระโจนเข้าไปเป็นตัวละครด้วย ซึ่งก็จะท้าทายกว่า

นิดหน่อย คนละโจทย์กัน แต่จะแบบไหน ก็ต้องฝึก acting training พื้นฐานเดียวกันทั้งหมด

ในฐานะคนดู เวลาที่เราดูการแสดงร้องเพลง แน่นอนว่าเราดูหลายอย่าง การแสดงสดที่เราร้องบนเวที อย่าลืมว่าผู้ชมผู้ฟังเห็นเราตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่นี่

ไม่ใช่การมองที่จับผิด .. แต่ผู้ชมทุกคนล้วนพร้อมเปิดใจ เปิดหู เปิดตาเพื่อฟังเพลง เป็นการดูที่ผู้ชมพร้อมจะกระโจนเข้าไปในเรื่องราวที่นักร้องถ่ายทอดออกมาทั้งสิ้น บางทีคนร้อง/คนแสดงนั่นแหละไปที่คิดมากเกินไป จนเกร็งไปหมด ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป trust the process ให้เวลาตัวเองได้ลองผิดลองถูกบ้าง ขอแค่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ จะโชว์ร้องเพลงแบบไหน เราก็มั่นใจว่าเอาอยู่ทุกมิติทั้ง Eyes. Lip. Attitude.

- Eyes สายตาที่สื่อสาร

- Lip เข้าใจคำที่ตัวเองร้องออกมา

- Attitude อารมณ์เพลงใช่

มันจะออกมาเป็น the unique, right combination ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเราเองได้เป็นอย่างดี

ครูเป็นกำลังใจให้นักเรียนทุกคนนะคะ!

ครูเอื้อเอง

#FINALEAcademy #ActingAcademy #เรียนการแสดง #คอร์สสอนการเแสดง #ActingClass #นักแสดง #การแสดง #คอร์สการแสดง #ฟินาเล่อะคาเดมี่ #เรียนการแสดง #มิวสิคัล #ละครเพลง #เรียนมิวสิคัล #เรียนร้องเพลง 

LINE_ALBUM_ครู_240925_40_edited.jpg

Ep.2

ช่วงนี้ดูจะเป็นฤดูกาลแห่งการประกวดร้องเพลงอีกครั้ง และเหมือนทุกปี จะมีนักเรียนหลายคนที่ร้องเก่งมาก ๆ แต่มาพร้อม

ความเครียดและความคาดหวังมหาศาลที่วางไว้บนไหล่ตัวเอง

สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนยอมรับตั้งแต่ต้นคือ — “ความไม่เพอร์เฟกต์ คือ ความจริง”

บนเวที (โดยเฉพาะเวทีละครเพลง,ละครเวที ซึ่งเป็นที่ๆเราคุ้นเคย เข้าใจและได้รับการหล่อหลอมเติบโตมา) เราไม่ได้ต้องการ “โชว์ที่สมบูรณ์แบบ” แต่ต้องการ “โมเมนต์ที่มีชีวิต” … นักแสดงและนักร้องจึงต้องฝึกการ “trust the moment” มากกว่าการหาผลลัพธ์ที่ “perfect” เพราะคำว่าเพอร์เฟกต์ของแต่ละคน

ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ของอร่อยยังตัดสินไม่เหมือนกันเลย ไม่อยากให้ยึดติดกับคำว่า สมบูรณ์แบบ แต่ขอให้ยึดที่คำว่า ฉันจะดีขึ้นในทุกๆครั้งที่ได้ลงมือฝึกฝน

อีกอย่าง… จะมือเป๊ะ ท่าพร้อม หน้าพร้อม แต่ถ้าดวงตาไม่มีชีวิต ก็ไม่มีความหมาย ต้องลองฝึกที่จะอยู่กับความจริงของเพลง ตั้งแต่โน้ตแรกจนถึงวินาทีสุดท้าย และให้กระบวนการนั้นนำพาเราไปสู่ “ความสมจริงทางอารมณ์” แทนที่จะตั้งเป้าว่ามันต้องหรูเริ่ดไร้ที่ติ

~ ความท้าทายของเพลงช้า เพลงเศร้า

ตลอดเวลาที่ได้ทำงานในบทบาทต่าง ๆ — ครู, โค้ช, โปรดิวเซอร์, ผู้กำกับ หรือผู้ออกแบบการแสดง ไม่เคยแนะนำให้ “ร้องด้วยอารมณ์เศร้านำทาง” เลย

แต่จะพยายามพานักเรียนให้เข้าใจให้ได้ว่า “อย่าพยายามแสดงอารมณ์เศร้า แต่ขอให้เข้าใจว่า ทำไมความรู้สึกนั้นถึงเข้ามาอยู่ในตัวเรา”

Acting a Song คือการฝึกเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์กับความต้องการ และซื่อตรงกับอารมณ์ของตัวเอง การตีความเพลงจึงไม่ใช่แค่การหาคำตอบว่า

“ร้องทำไม” แต่สามารถลงไปลึกกว่านั้นได้คือการค้นหา Objective ของเพลง — “สิ่งที่เราต้องการในเพลงนี้คืออะไร” และเมื่อเจอจุดนั้น แล้วผสมกับ

“วัตถุดิบในตัวเราเอง” คือประสบการณ์ชีวิตและความเข้าใจของเรา ศิลปินจึงจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสามารถขึ้นโชว์ได้ดี

 

~ Outer vs. Inner (และพลังของการกำกับ)

บางคนร้องดี มี movement ครบ แต่ไม่เข้าใจ objective ของเพลง ผลลัพธ์คืออาจจะดู outer (ภายนอก) มากกว่า inner (ภายใน) ถามว่าผิดไหม — ก็ไม่ผิดเสมอไป แค่ความกลมกล่อมแบบนั้นเกิดขึ้นยากมาก และต้องอาศัยครูที่ craft การแสดงได้ละเอียดจริง ๆ และมีประสบการณ์มากพอที่จะไกด์ผู้เรียนได้ให้เข้าใจ

เพลงทุกเพลง ถ้าขึ้นเวที มันคือการแสดง และทุกการแสดงต้องการ “การกำกับ” ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ทำให้เราเปลี่ยนจาก 'การเล่นภายนอก' มาเป็น 'ความจริงจากภายใน' และนี่แหละคือความท้าทายของครู เพราะมันไม่ใช่แค่การสอน แต่คือ “การออกแบบการแสดงบนเวที” ที่ต้องอาศัยทั้งศาสตร์ ศิลป์ ประสบการณ์ และเวลา เรียกได้ว่าแทบจะเป็นงานแบบ 1:1 ระหว่างครูและนักเรียนทุกครั้ง และเราต้องไม่ลืมว่า การแสดงมีหลายเทคนิค การจะเอาแค่หนึ่งวิธีไปทำนั้น มันไม่เวิร์คเสมอไป ขาดบ้างเกินบ้าง ครูต้องใส่ใจที่จะหาจุดที่ลงตัวของนักเรียนให้เจอ

~ เวลากับการเติบโต

นักเรียนต้องการเวลา ครูก็ต้องการเวลา อย่าเร่งจนเครื่องในสะเทือนไปหมด (Gentle reminder: แต่ก็ต้องไม่ขี้เกียจหรือผลัดวันไปเรื่อย)

โดยเฉพาะน้อง ๆ วัยเด็ก — อย่าเลือกเพลงหรือโจทย์ที่เกินวัยเกินไปจนทำความเข้าใจเพลงไม่ได้ เพราะนั่นคือการติดกระดุมกระบวนการเม็ดแรกเบีัยว

(บางทีการประกวดจะต้องเน้นเทคนิค อันนี้ก็เข้าใจได้ แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงว่าจะอ่อนเรื่องการแสดง และสุดท้ายก็ต้องมาส่งครูแอคติ้งแบบมีเวลาให้แค่ครั้งสองครั้ง แฟร์กับครูทางนี้กี่โมงงงงง)

เด็ก ๆ สามารถค่อย ๆ ฝึกเข้าใจอารมณ์ต่าง ๆ ได้ ภายใต้การดูแลของครูที่เข้าใจศาสตร์การแสดงแบบนี้จริง ๆ และเมื่อเติบโตขึ้นและมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ระดับของ emotional intelligence จะลึกซึ้งขึ้นตามไปเอง

และนี่แหละคือเหตุผลที่ว่า “การเรียนการแสดงไม่มีวันสิ้นสุด” เพราะตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ ศิลปะ (Arts) และมนุษยศาสตร์ (Humanities) ก็จะเป็นของคู่กันเสมอ

เดี๋ยวนี้ทุกคนเก่งกันมากจริงๆ คนร้องเพลงเพราะมีอยู่ทุกที่เลย ชื่นชมนะคะ ~~ ส่งท้ายของ Ep นี้ ขอฝากไว้ว่า : เสียงร้องที่จริงใจ ย่อมดีกว่าเสียงที่

เพราะแต่ไม่มี “หัวใจ” หรือ ”เรื่องราว“ อยู่ในนั้น

ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังฝึกฝนตัวเอง มันไม่ง่าย แต่ก็คุ้มค่ามาก โลกของการแสดงยังมีพื้นที่ให้ทดลองและค้นพบอีกเยอะมาก ที่จะช่วยให้ก้าว

ข้ามจากการ "ร้องเพลง“ เป็น ”แสดงเพลง“ ด้วยการใช้เครื่องมือการแสดงเพื่อตีความอย่างลึกซึ้ง สู้ต่อไปค่ะ นัดมาเจอกันได้นะคะที่ฟินาเล่ (Finale Academy หรือ Finale Play ก็ได้) เรามีหลักสูตรและทีมคุณครูคอยดูแลเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ ยินดีมากๆ หากท่านใดอยู่ไกล ทักมาคุยกันดูนะคะ

เขียนไว้ให้เผื่อจะเป็นประโยชน์กับนักเรียนและครู หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจเรื่องนี้นะคะ มันสนุก มันท้าทาย เวลาสอนไม่เคยกั๊ก มักเกินเวลา เวลาเขียนก็

ไม่กั๊กเหมือนกัน เลยยาวเหยียดเลย 555 ไม่รู้จะเก็บไว้คนเดียวทำไม เอื้ออยากให้คนสนใจด้านการแสดงและมิวสิคัลกันเยอะๆ

ครูเอื้อเอง

#FINALEAcademy #ActingAcademy #เรียนการแสดง #คอร์สสอนการเแสดง #ActingClass #นักแสดง #การแสดง #คอร์สการแสดง #ฟินาเล่อะคาเดมี่ #เรียนการแสดง #มิวสิคัล #ละครเพลง #เรียนมิวสิคัล #เรียนร้องเพลง 

Address

8 Pattanawej (Pridi 26)

Sukhumvit 71 Rd.

Bangkok 10110

Contact

line: @finale_academy

email: finaleacademy@gmail.com

tel: 061-1836678 , 081-5534442

Follow us

  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter
  • Youtube
  • TikTok

finale_academy

© 2023 by Finale Academy

bottom of page